วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561

งานที่1 ความหมายของภาษา ความสำคัญของภาษา ระดับของภาษา ทักษะและเทคนิคการใช้ภาษา และลีลาในการสอน

ความหมายของภาษา
        ภาษา เมื่อแปลตามรูปศัพท์หมายถึง คำพูดหรือถ้อยคำ ภาษาเป็นเครื่องมือของมนุษย์ที่ใช้ในการสื่อความหมายให้สามารถติดต่อสื่อสาร เข้าใจกันได้ โดยมีระเบียบของเสียงและเรื่องของคำเป็นเครื่องกำหนด ในพจนาณุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2525 ใหความหมายของคำว่าภาษาคือเสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูด ถ้อยคำที่ใช้พูดจากัน

       ภาษาสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ วัจนภาษา และ อวัจนภาษา

1. วัจนภาษา เป็นภาษาที่พูดโดยใช้เสียงที่เป็นถ้อยคำ สร้างความเข้าใจกัน มีระเบียบในการใช้ถ้อยคำในการพูด นอกจากนั้นยังเป็นหนังสือที่ใช้แทนคำพูด คำที่ใช้เขียนจะเป็นคำที่เลือกสรรแล้ว มีระเบียบในการใช้ถ้อยคำในการเขียนและการพูดตามหลักภาษา
2. อวัจนภาษา เป็นภาษาที่ใช้สิ่งอื่นนอกเหนือจางคำพูดและตัวหนังสือในการสื่อสารเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ภาษาที่ไม่เป็นถ้อยคำได้แก่ ท่าทางการแสดงออก การใช้มือใช้แขนประกอบการพูดหรือสัญลักษณ์ต่างๆที่ใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจ เช่น สัญญานไฟจราจร สัญญานธง เป็นต้น

       ภาษามีความสำคัญต่อมนุษย์มาก เพราะนอกจากจะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารแล้ว ยังเป็นเครื่องมือแห่งการเรียนรู้และการพัฒนาความคิดของมนุษย์และเป็นเครื่องมือถ่ายทอดวัฒนธรรมและการประกอบอาชีพ และที่สำคัญก็คือ ภาษาช่วยสร้างเสริมความสามัคคีของคนในชาติอีกด้วย เพราะภาษาเป็นถ้อยคำที่ใช้ในการสื่อสารสร้างความเข้าใจกันในสังคม

https://nungruatai11.wordpress.com/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%97/


         
           คำว่า “ภาษา”  เป็นคําสันสกฤตที่มาจากรากศัพท์เดิมว่า “ภาษ”  เป็นคำกริยา แปลว่า กล่าว พูด หรือบอก เมื่อนำมาใช้จึงเปลี่ยนรูปเป็น “ภาษา”  ซึ่งมีความหมายตามรูปศัพท์ว่า คำพูด หรือถ้อยคำ เป็นสิ่งที่มีมนุษย์ใช้ทำความเข้าใจระหว่างคนกับคนเป็นวิธีที่มนุษย์ใช้แสดงความในใจเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รู้  โดยใช้เสียงพูดที่มีระเบียบและมีความหมาย  พูดออกมาเพื่อสื่อความหมายใหเข้าใจตรงกัน อาจกล่าวโดยสรุปว่า ภาษา คือ เครื่องมือในการสื่อความหมายโดยผ่านทางเสียงพูด ถ้อยคำ กริยาอาการ หรือสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อใช้ถ่ายทอดความรู้สึก ความต้องการของตนให้ผู้อื่นทราบในการประกอบกิจการร่วมกัน

https://sites.google.com/site/karchiphasawayrunnisuxxxnlin/khwam-hmay-khxng



         คำว่า “ภาษา”  อาจแบ่ง ความหมายออกได้เป็น  ๒  ประเภท  คือ  “ภาษาในความหมายกว้าง” หมายถึง  ภาษาที่ใช้คําพูด(วัจนภาษา) และภาษาที่ไม่ได้ใช้คําพูดหรือภาษาท่า ทาง (อวัจนภาษา)  ทั้งนี้ภาษาในความหมายนี้ อาจนับรวมไปถึงภาษาของสัตว์ด้วย แต่เรื่องภาษาของสัตว์นี้ยังมีข้อมูลไม่มากนักจึงไม่ค่อยมีใครนำ มากล่าวรวมกับภาษาของมนุษย์“ภาษาในความหมายแคบ” หมายถึงภาษาที่ใช้คําพูดจะเป็นคําพูดหรือลายลักษณ์อักษรซึ่งเป็นเครื่องหมายใช้แทนคำพูดก็ได้  ดังนั้น ความหมายของภาษาที่เขียนเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ก็คือความหมายประการหลังซึ่งหมายถึง ถ้อยคำที่มนุษย์ใช้สื่อสารเพื่อความเข้าใจกันนั้นเอง นักภาษาจึงเรียก ความหมายของภาษาในแง่นี้ว่า “ความหมายแคบ”  เพราะจำกัดอยู่เพียงคำพูดของมนุษย์เท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อมนุษย์พัฒนาขึ้นก็มีวิธีถ่ายทอดเสียงพูดเป็นสิ่งอื่นในการสื่อสารสิ่งที่ใช้แทนเสียงในการสื่อสารก็คือ ตัวอักษร เช่นเดียวกับที่เราถ่ายทอดเสียงภาษาไทยเป็นตัวอักษรไทย  ภาษาเป็นสิ่งแสดงภูมิปัญญาอันยอดของมนุษย์ที่สามารถพัฒนาเสียงซึ่งเปล่งออกได้ด้วยอาการตามธรรมชาติ ให้กลายเป็นเครื่องมือใช้สื่อสารความคิด ความรู้สึก ความต้องการของตนให้ผู้อื่นรู้และสื่อสารกันได้จนเกิดเป็นภาษา มนุษย์ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร และทำความเข้าใจกันในหมู่คณะที่ใช้ภาษาเดียวกัน ภาษาทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ความรู้ความสามารถในการหาเลี้ยงชีพ และความสามารถอื่นๆ อีกมากมาย   มนุษย์สามารถพัฒนาความรู้ ความคิด จิตใจ คุณธรรม ความเชื่อ ศิลปะ ฯลฯ จนแตกต่างจากสัตว์ทุกชนิดและเป็นผู้ครองโลกได้ด้วยภาษาของมนุษย์นี้เอง  ภาษาจึงเป็นส่วนสำคัญของความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชนที่เจริญก้าวหน้าจนเป็นมหาอำนาจหรือกลุ่มชนที่ล้าหลังที่สุด ต่างก็มีภาษาใช้สื่อสารกันในกลุ่มของตน และทุกภาษาจะมีความสมบรูณ์เพียงพอที่จะใช้สื่อสารกันได้ในกลุ่มเมื่อมนุษย์ได้ติดต่อกับคนต่างกลุ่ม ติดต่อกับคนที่ใช้ภาษาต่างกันการหยิบยืมทางภาษาก็อาจเกิดขึ้นได้ในทุกกลุ่มชน การยืมจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความจำเป็นและความต้องการของคนในสังคมนั้นๆ

https://sites.google.com/site/thaiusage/khwam-hmay-khxng-phasa



สรุป
        ภาษา คือ เสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูด ถ้อยคำที่ใช้พูดกันหรือเสียงพูดที่มีระเบียบและมีความหมาย ซึ่งมนุษย์ใช้ในการสื่อความคิด ความรู้สึก และในการที่จะให้ผู้ที่เราพูดด้วยทำสิ่งที่เราต้องการ และแทนสิ่งที่เราพูดถึง



ความสำคัญของภาษา

      ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารของมนุษย์ มนุษย์ติดต่อกันได้ เข้าใจกันได้ก็ด้วยอาศัยภาษาเป็นเครื่องช่วยที่ดีที่สุดภาษาเป็นสิ่งช่วยยึดให้มนุษย์มีความผูกพันต่อกัน เนื่องจากแต่ละภาษาต่างก็มีระเบียบแบบแผนของตน ซึ่งเป็นที่ตกลงกันในแต่ละชาติแต่ละกลุ่มชน การพูดภาษาเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน มีความผูกพันต่อกันในฐานะที่เป็นชาติเดียวกัน
ภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ และเป็นเครื่องแสดงให้เห็นวัฒนธรรมส่วนอื่นๆของมนุษย์ด้วย เราจึงสามารถศึกษาวัฒนธรรมตลอดจนเอกลักษณ์ของชนชาติต่างๆได้จากศึกษาภาษาของชนชาตินั้นๆ
ภาษาศาสตร์มีระบบกฎเกณฑ์ ผู้ใช้ภาษาต้องรักษากฎเกณฑ์ในภาษาไว้ด้วยอย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์ในภาษานั้นไม่ตายตัวเหมือนกฎวิทยาศาสตร์ แต่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของภาษา เพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ตั้งขึ้น จึงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยตามความเห็นชอบของส่วนรวม
ภาษาเป็นศิลปะ มีความงดงามในกระบวนการใช้ภาษา กระบวนการใช้ภาษานั้น มีระดับและลีลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายด้าน เช่น บุคคล กาลเทศะ ประเภทของเรื่องฯลฯ การที่จะเข้าใจภาษา และใช้ภาษาได้ดีจะต้องมีความสนใจศึกษาสังเกตให้เข้าถึงรสของภาษาด้วยองค์ประกอบของภาษา

http://www.trueplookpanya.com/new/asktrueplookpanya/questiondetail/8803



      วัฒนธรรมไทยมีลักษณะเฉพาะเป็นเอกลักษณ์ของตน การที่วัฒนธรรมไทยจะสืบทอดลักษณะ และรายละเอียดทั้ง มวล จาก อดีต มาถึงปัจจุบันและจากปัจจุบันที่จะสืบทอดต่อไปในอนาคตได้นั้น ก็ด้วยอาศัยภาษาเป็นเครื่องมือทั้งโดยการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร  และการเล่าจดจำสืบกันต่อมาจึงมีคำกล่าวว่า   ภาษาไทยจึงเป็นหัวใจของวัฒนธรรม ถ้าปราศจากจากหัวใจคือภาษาเสียแล้ว วัฒนธรรมก็สืบทอดไม่ได้และต้องสูญหายไปโดยเร็วขณะที่ภาษาไทยทำหน้าที่สืบทอดวัฒนธรรมไทยนั้น  ภาษาไทยยังมีความสำคัญอย่างยิ่งในแง่เป็นเครื่องสื่อความหมายทางวัฒนธรรมด้วย
ความสำคัญของภาษา ภาษามีประโยชน์มากมาย ได้แก่ ภาษาช่วยธำรงสังคม ภาษาแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล ภาษาช่วยให้มนุษย์พัฒนา ภาษาช่วยกำหนดอนาคต ภาษาช่วยจรรโลงใจ
 .ภาษาช่วยธำรงสังคม

สังคมจะธำรงอยู่ได้มนุษย์ต้องมีไมตรีต่อกัน ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และระเบียบวินัยของสังคมและประพฤติตนให้เหมาะสมแก่ฐานะตนเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยภาษา คือ

– ภาษาใช้แสดงไมตรีจิตต่อกัน เช่น การทักทายปราศรัยกัน
– ภาษาใช้แสดงกฎเกณฑ์ของสังคมว่าคนในสังคมควรปฏิบัติตนอย่างไร เช่น ศีล ๕ เป็นแนวทางปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน
– ภาษาใช้แสดงความสัมพันธ์ของบุคคล แต่ละบุคคลมีฐานะ บทบาท และความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นต่างๆ กันไป การใช้ภาษาจึงแสดงฐานะและบทบาทในสังคมด้วย  

. การแสดงความเป็นปัจเจกบุคคล

ปัจเจกบุคคล หมายถึง ลักษณะเฉพาะของบุคคล บุคคลแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป ภาษาจะช่วยสะท้อนลักษณะดังกล่าวของบุคคล ทำให้ทราบถึงอุปนิสัย อารมณ์ รสนิยม ตลอดจนความคิดต่างๆ แต่ละบุคคลจะมีวิธีพูด หรือการใช้ภาษาแตกต่างกันไปตามลักษณะเฉพาะของตน เช่น ถ้าเราอ่านเรื่องของนักเขียนคนนั้นหลายๆ เรื่องก็จะทราบว่านักเขียนคนนั้นชอบหรือไม่ชอบอะไร

.ภาษาช่วยให้มนุษย์พัฒนา

มนุษย์อาศัยภาษาถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ต่อๆ กันมา ทำให้ความรู้แพร่ขยายมากยิ่งขึ้น มนุษย์ไม่ต้องเสียเวลาเรื่องทุกเรื่องใหม่ แต่สามารถพัฒนาค้นคว้าต่อให้เจริญก้าวหน้าต่อไป    บางครั้งเมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันก็จะใช้ภาษาอภิปรายโต้แย้งกัน ทำให้ความรู้ความคิดเจริญงอกงามยิ่งขึ้น โดยเฉพาะภาษาเขียนจะช่วยบันทึกเรื่องราวความรู้ต่างๆ ไว้ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ต่อไป

.ภาษาช่วยกำหนดอนาคต

มนุษย์อาศัยภาษาช่วยกำหนดอนาคตในรูปแบบต่างๆ เช่น ทำแผน ทำโครงการ คำสั่ง สัญญา คำพิพากษา กำหนดการ คำพยากรณ์ ซึ่งจะเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป ในบางกรณีสิ่งที่กำหนดล่วงหน้าไว้นี้อาจไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ เพราะอนาคตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน

. ภาษาช่วยจรรโลงใจ  

การจรรโลงใจ คือ ค้ำจุนจิตใจให้มั่นคง ไม่ตกอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำ โดยปกติมนุษย์ต้อง

การได้รับความจรรโลงใจอยู่เสมอ มนุษย์จึงอาศัยภาษาช่วยให้ความชื่นบาน ให้ความเพลิดเพลิน เช่น บทเพลง นิทาน คำอวยพร ฯลฯ ทำให้สังคมดำรงอยู่ได้ด้วยดี        ภาษามีความสำคัญสำหรับมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีอิทธิพลต่อมนุษย์ด้วย ทั้งนี้ เพราะมนุษย์ไม่ได้คิดว่าภาษาเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ใช้แทนเท่านั้น เช่น การตั้งชื่อก็จะหลีกเลี่ยงคำที่มีเสียงคล้ายคลึงกับสิ่งไม่ดี สิ่งที่น่ารังเกียจ หรือมีความหมายไม่เป็นมงคล หรือการถูกนินทาก็จะเสียใจ ได้รับคำชมก็ดีใจ ดังกล่าวนี้ในบางครั้งมนุษย์ก็ยึดมั่นกับตัวอักษรโดยไม่พิจารณาเหตุผล   การที่ภาษาช่วยจรรโลงจิตใจของมนุษย์จะช่วยให้สังคมอยู่ได้ด้วยดี ทำให้โลกสดชื่นเบิกบาน ช่วยคลายเครียด

 https://nungruatai11.wordpress.com/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D-3/
    


       ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระการงานและดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาชาติได้อย่างสันติสุข   และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้า ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคง  ทางสังคมและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อที่แสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี  ชีวทัศน์ โลกทัศน์ และสุนทรียภาพ โดยบันทึกไว้เป็นวรรณคดีและวรรณกรรมอันล้ำค่า      ภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ เพื่ออนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป

https://www.classstart.org/classes/4131


สรุป
         ภาษาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารของมนุษย์ มนุษย์ติดต่อกันได้ เข้าใจกันได้ก็ด้วยอาศัยภาษาเป็นเครื่องช่วยที่ดีที่สุดภาษาเป็นสิ่งช่วยยึดให้มนุษย์มีความผูกพันต่อกัน เนื่องจากแต่ละภาษาต่างก็มีระเบียบแบบแผนของตน ซึ่งเป็นที่ตกลงกันในแต่ละชาติแต่ละกลุ่มชน การพูดภาษาเดียวกันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน มีความผูกพันต่อกันในฐานะที่เป็นชาติเดียวกัน



ระดับของภาษา

          การใช้ภาษาขึ้นอยู่กับกาลเทศะ สถานการณ์ สภาวะแวดล้อม และสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ซึ่งอาจแบ่งภาษาเป็นระดับต่างๆได้หลายลักษณะ เช่น (ภาษาระดับที่เป็นแบบแผนและไม่เป็นแบบแผน),(ภาษาระดับพิธีการ ระดับกึ่งพิธีการ ระดับไม่เป็นทางการ) ในชั้นเรียนนี้ เราจะชี้ลักษณะสำคัญของภาษาเป็น ๕ ระดับ ดังนี้

๑. ระดับพิธีการ ใช้สื่อสารกันในที่ประชุมที่จัดขึ้นอย่างเป็นทางการ ได้แก่ การประชุมรัฐสภา การกล่าวอวยพร การกล่าวต้อนรับ การกล่าวรายงานในพิธีมอบปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร การกล่าวสดุดีหรือการกล่าวเพื่อจรรโลงใจให้ประจักษ์ในคุณความดี การกล่าวปิดพิธี เป็นต้น ผู้ส่งสารระดับนี้มักเป็นคนสำคัญสำคัญหรือมีตำแหน่งสูง ผู้รับสารมักอยู่ในวงการเดียวกันหรือเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ สัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีต่อกันอย่างเป็นทางการ ส่วนใหญ่ผู้ส่งสารเป็นผู้กล่าวฝ่ายเดียว ไม่มีการโต้ตอบ ผู้กล่าวมักต้องเตรียมบทหรือวาทนิพนธ์มาล่วงหน้าและมักนำเสนอด้วยการอ่านต่อหน้าที่ประชุม

๒. ภาษาระดับทางการ ใช้บรรยายหรืออภิปรายอย่างเป็นทางการในที่ประชุมหรือใช้ในการเขียนข้อความที่ปรากฏต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ หนังสือที่ใช้ติดต่อกับทางราชการหรือในวงธุรกิจ ผู้ส่งสารและผู้รับสารมักเป็นบุคคลในวงอาชีพเดียวกัน ภาษาระดับนี้เป็นการสื่อสารให้ได้ผลตามจุดประสงค์โดยยึดหลักประหยัดคำและเวลาให้มากที่สุด

๓. ภาษาระดับกึ่งทางการ คล้ายกับภาษาระดับทางการ แต่ลดความเป็นงานเป็นการลงบ้าง เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารซึ่งเป็นบุคคลในกลุ่มเดียวกัน มีการโต้แย้งหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นระยะๆ มักใช้ในการประชุมกลุ่มหรือการอภิปรายกลุ่ม การบรรยายในชั้นเรียน ข่าว บทความในหนังสือพิมพ์ เนื้อหามักเป็นความรู้ทั่วไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆ รวมถึงการปรึกษาหารือร่วมกัน

๔. ภาษาระดับไม่เป็นทางการ ภาษาระดับนี้มักใช้ในการสนทนาโต้ตอบระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคลไม่เกิน ๔-๕ คนในสถานที่และกาละที่ไม่ใช่ส่วนตัว อาจจะเป็นบุคคลที่คุ้นเคยกัน การเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน การรายงานข่าวและการเสนอบทความในหนังสือพิมพ์ โดยทั่วไปจะใช้ถ้อยคำสำนวนที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยกันมากกว่าภาษาระดับทางการหรือภาษาที่ใช้กันเฉพาะกลุ่ม เนื้อหาเป็นเรื่องทั่วๆไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆรวมถึงการปรึกษาหารือหรือร่วมกัน

๕. ภาษาระดับกันเอง ภาษาระดับนี้มักใช้กันในครอบครัวหรือระหว่างเพื่อนสนิท สถานที่ใช้มักเป็นพื้นที่ส่วนตัว เนื้อหาของสารไม่มีขอบเขตจำกัด มักใช้ในการพูดจากัน ไม่นิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรยกเว้นนวนิยายหรือเรื่องสั้นบางตอนที่ต้องการความเป็นจริง (การแบ่งภาษาดังที่กล่าวมาแล้วมิได้หมายความว่าแบ่งกันอย่างเด็ดขาด ภาษาระดับหนึ่งอาจเหลื่อมล้ำกับอีกระดับหนึ่งก็ได้)

https://sites.google.com/site/khwamruphasathai/home/10-radab-phasa



               การสื่อสารด้วยการพูดนั้น  ต้องคำนึงถึงระดับของภาษา  เนื่องจากสังคมไทยมีการเคารพและยกย่องกันตามอาวุโส และตำแหน่งหน้าที่  ภาษาที่เราใช้สนทนากับเพื่อนสนิท อาจนำไปสนทนากับครูอาจารย์ไม่ได้  เนื่องจากคำอาจไม่สุภาพเหมาะสม  หรือภาษาที่เราใช้สนทนากับคนในครอบครัวก็อาจไม่เหมาะสมที่จะสนทนากับคนแปลกหน้า  เป็นต้น  นอกจากนี้การสื่อสารกับบุคคลเดียวกันแต่ต่างโอกาสหรือต่างสถานที่กัน ก็ต้องเปลี่ยนระดับภาษาให้เหมาะสม ภาษาบางระดับคนบางคนอาจจะไม่มีโอกาสใช้เลย เช่น ภาษาระดับพิธีการ   บางระดับต้องใช้กันอยู่เสมอในชีวิตประจำวันการเรียนรู้เรื่องระดับภาษา จึงเป็นเรื่องจำเป็น ถึงแม้บางระดับเราไม่ได้ใช้แต่ อย่างน้อยก็ทำให้เรารับรู้ว่าภาษามีระดับ เมื่อถึงคราวที่จะต้องใช้ก็จะใช้ได้อย่างถูกต้อง ไม่ต้องถูกใครมาตำหนิว่าพูดจาไม่เหมาะสม
ดังนั้นการใช้ภาษาจึงต้องเลือกให้เหมาะสมกับบุคคลและโอกาสเป็นสำคัญโดยคำนึงถึงมารยาท และ ความสุภาพเหมาะสม

 ภาษาแบ่งออกเป็น ๕ ระดับ  ดังนี้
1) ภาษาระดับพิธีการ
              ภาษาระดับพิธีการเป็นภาษาที่ใช้ในงานระดับสูงที่จัดขึ้นเป็นพิธีการ เช่น การกล่าวสดุดี

กล่าวรายงาน กล่าวปราศรัยกล่าวเปิดพิธี ผู้กล่าวมักเป็นบุคคลสำคัญ บุคคลระดับสูงในสังคมวิชาชีพหรือวิชาการผู้รับสารเป็นแต่เพียงผู้ฟังหรือผู้รับรู้ไม่ต้องโต้ตอบเป็นรายบุคคล หากจะมีก็จะเป็นการตอบอย่างเป็นพิธีการในฐานะผู้แทนกลุ่ม การใช้ภาษาระดับนี้ต้องมีการเตรียมล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งเรียกว่า วาทนิพนธ์ก็ได้ ในการแต่งสารนี้มีคำต้องเลือกเฟ้น ถ้อยคำให้รู้สึกถึงความสูงส่ง ยิ่งใหญ่จริงจังตามสถานภาพของงานนั้น

 2) ภาษาระดับทางการ
              ภาษาระดับทางการ ใช้ในงานที่ต้องรักษามารยาท ในการใช้ภาษาค่อนข้างมาก

อาจจะเป็นการรายงาน การอภิปรายในที่ประชุม การปาฐกถา ซึ่งต้องพูดเป็นการเป็นงาน  อาจจะมีการใช้ศัพท์เฉพาะเรื่องหรือศัพท์ทางวิชาการบ้างตามลักษณะของเนื้อหาที่ต้องพูดหรือเขียน

 3) ภาษาระดับกึ่งทางการ
              ภาษาระดับกึ่งทางการเป็นภาษาที่ใช้ในระดับเดียวกับภาษาทางการที่ลดความเป็นงานเป็นการลงผู้รับและผู้ส่งสารมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น มีโอกาสโต้ตอบกันมากขึ้น ภาษาระดับนี้มักใช้ในการประชุมกลุ่ม การบรรยายในชั้นเรียน การให้ข่าว การเขียนข่าว หรือบทความในหนังสือพิมพ์ ซึ่งนิยมใช้ถ้อยคำ สำนวน ที่แสดงความคุ้นเคยกับผู้อ่านหรือผู้ฟังด้วย

 4) ภาษาระดับสนทนาทั่วไป   
          ภาษาระดับสนทนาทั่วไป เป็นภาษาระดับที่ใช้ในการพูดคุยกันธรรมดา แต่ยังไม่เป็นการส่วนตัวเต็มที่ยังต้องระมัดระวังเรื่องการให้เกียรติคู่สนนา เพราะอาจจะไม่เป็นการพูดเฉพาะกลุ่มพวกของตนเท่านั้นอาจมีบุคคลอื่นอยู่ด้วย หรืออาจมีบุคคลต่างระดับร่วมสนทนากัน  จึงต้องคำนึงถึงความสุภาพมิให้เป็นกันเองจนกลายเป็นการล่วงเกินคู่สนทนา

 5) ภาษาระดับกันเอง หรือระดับภาษาปาก
          ภาษาระดับกันเองเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกับผู้คุ้นเคยสนิทเป็นกันเอง ใช้พูดจากันในวงจำกัดอาจจะเป็นกลุ่มเพื่อนฝูง ครอบครัว    สถานที่ใช้ก็มักเป็นส่วนตัว เป็นสัดส่วนเฉพาะกลุ่ม เฉพาะพวก ได้แก่ ภาษาถิ่น ภาษาสแลง ภาษาที่ใช้ติดต่อในตลาดในโรงงาน ร้านค้า ภาษาที่ใช้ในการละเล่น หรือการแสดงบางอย่างที่มุ่งให้ตลกขบขัน เช่น จำอวด ฯลฯ
          การใช้ภาษาทุกระดับไม่ว่าจะเป็นภาษาระดับสนทนาหรือระดับกันเอง ผู้ใช้ควรคำนึงถึงมารยาทซึ่งเป็นทั้งการให้เกียรติผู้อื่นและการรักษาเกียรติของตนเอง เพราะเป็นเครื่องแสดงว่า บุคคลนั้นเป็นผู้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี เป็นผู้มีสมบัติผู้ดี และมีจิตใจดี

https://krusurang.wordpress.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2/



            ระดับภาษาแบ่งออกเป็น ๒ แบบ คือ ภาษาแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
๑ ภาษาแบบเป็นทางการ ภาษาแบบนี้ใช้ในโอกาสคัญๆ ทั้งที่เป็นพิธีการ เช่น ในงานราชพิธีและในโอกาสสำคัญที่เป็นทางการ เช่น การกล่าวเปิดการประชุมต่างๆ การกล่าวคำปราศรัย และการประกาศ เป็นต้น ภาษาแบบเป็นทางการอาจจัดเป็น ๒ ระดับคือ ภาษาระดับพิธีการ และภาษาระดับมาตรฐานราชการหรือภาษาระดับทางการ

       ๑.๑ ภาษาระดับพิธีการ มีลักษณะเป็นภาษาที่สมบูรณ์แบบและมีรูปประโยคความซ้อนให้ความหมายขายค่อนข้างมาก ถ้อยคำที่ใช้ก็เป็นภาษาระดับสูง จึงงดงามไพเราะและประณีต ผู้ใช้ภาษาระดับนี้จะต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง นอกจากใช้ในโอกาสสำคัญ เช่น ในงานพระราชพิธีแล้ว ภาษาระดับพิธีการยังใช้ในวรรณกรรมชั้นสูงอีกด้วย ดังตัวอย่างจากคำประกาศในการพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าดังนี้

"ขอพระบรมเดชานุภาพมหึมาแห่งสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราช จงคุ้มครองประเทศชาติและประชาชาวไทยให้ผ่านพ้นสรรพอุปัทว์พิบัติทั้งปวง อริราชศัตรูภาบนอกอย่าล่วงเข้าทำอันตรายได้ ศัตรูหมู่พาลภายในให้วอดวายพ่ายแพ้ภัยตัว บันดาลความสุขความมั่นคงให้บังเกิดทั่วภูมิมณฑล บันดาลความร่มเย็น
แก่อเนกนิกรชนครบคามเขตขอบขัณฑสีมา"
(ภาวาส บุนนาค,"ราชาภิสดุดี." ในวรรณลักษณวิจารณ์เล่ม ๒ หน้า ๑๕๙.)

      ๑.๒ ภาษาระดับมาตรฐานราชการ แม้ภาษาระดับนี้จะไม่อลังการเท่าภาษาระดับพิธีการ แต่ก็เป็นภาษาระดับสูงที่มีลักษณะสมบูรณ์แบบและถูกหลักไวยากรณ์ มีความชัดเจน สละสลวย สุภาพ ผู้ใช้ภาษาจึงต้องใช้รายละเอียดประณีตและระมัดระวัง ต้องมีการร่าง แก้ไข และเรียบเรียงไว้ล่วงหน้า เพื่อให้ในโอกาสสำคัญที่เป็นทางการในการกล่าวคำปราศรัย การกล่าวเปิดการประชุม การกล่าวคำประกาศเกียรติคุณ นอกจากนี้ยังใช้ในการเขียนผลงานวิชาการ เรียงความ บทความวิชาการ หนังสือราชการ และคำนำหนังสือต่างๆ เป็นต้น

ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ตัวอย่างภาษาระดับมาตรฐานราชการในบทความวิชาการ
"บทละครไทยเป็นอีกรูปเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของวรรณกรรมไทย บทละครของไทยเป็นวรรณกรรมที่ประพันธ์ขึ้นทั้งเพื่ออ่านและเพื่อแสดง รูปแบบที่นิยมกันมาแต่เดิมคือบทละครรำ ต่อมามีการปรับปรุงละครรำให้ทันสมัยขึ้นตามความนิยมแบบตะวันตก จึงมีรูปแบบใหม่เกิดขึ้น ได้แก่ ละครดึกดำบรรพ์ ละครพันทาง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการรับรูปแบบละครจากตะวันตกมาดัดแปลงให้เข้ากับสังคมไทยและวัฒนธรรมไทย ทำให้การละครไทยพัฒนาขึ้น โดยมีกระ
บวนการแสคงที่แตกต่างไปจากละครไทยที่มีอยู่ มาเป็นละครร้อง ละครพูด และละครสังคีต"
(กันยรัตน์ สมิตะพันทุ, "การพัฒนาตัวละครในบทละครพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว."ในบท ความ วิชาการ ๒๐ ปี ภาควิชาภาษาไทย,หน้า ๑๕๘.)


๒ ภาษาแบบไม่เป็นทางการ เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันโดยทั่วไปในชีวิตประจำวัน สามารถจัดเป็น ๓ ระดับ
คือภาษากึ่งทางการ ภาษาระดับกึ่งทางกลาง ภาษาระดับสนทนา และภาษากันเองหรือภาษาปาก

     ๒.๑ ภาษาระดับกึ่งทางราชการ มีลักษณะที่ยังคงความสุภาพอยู่ แต่ผู้ใช้ภาษาก็ไม่ระมัดระวังมากเท่า
การใช้ภาษาเป็นทางการ เพราะอาจใช้รูปประโยคง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ถ้อยคำที่ใช้เป็นระดับสามัญ บางครั้งมีภาษาระดับสนทนาเข้ามาปะปนด้วย ภาษาระดับกึ่งทางการในการติดต่อธุรกิจการงาน หรือใช้สื่อสารกับบุคคลที่ไม่สนิทสนมคุ้นเคยกัน และใช้ในการเขียนเรื่องที่ผู้เขียนต้องให้อ่ารู้สึกหมือนกำลังฟังผู้เขียนเล่าเรื่องหรือเสนอความคิดเห็น
อย่างไม่เคร่งเครียด เช่น การเขียนสารคดีท่องบทความแสดงความคิดเห็น หรือการเล่าเรื่องต่างๆ เช่น
ชีวประวัติ เป็นต้น

ตัวอย่างภาษาระดับกึ่งทางการในบทความแสดงความคิดเห็น
"ฉะนั้นในช่วงเรียนอยู่ในระดับมัธยม ผู้ที่มีความขยันมุ่งมั่นจะเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้จะไม่สนใจสิ่งแวดล้อม
รอบกายทั้งสิ้น ยกเว้นสิ่งที่เขาคิดว่าจะสามารถทำให้เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ชีวิตนักเรียนมัธยมจึงมีแต่ติว
ติวและติว กีฬาฉันไม่เล่น กิจกรรมฉันไม่มีเวลาทำ และยิ่งห้องสมุดฉันไม่ทราบว่าจะเข้าไปทำไม เพราะเวลาทั้งหมดจะต้องใช้ท่องตำราอย่างเดียว แล้วก็มักจะประสบความสำเร็จตามที่คิดเสียด้วย
คือสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้"
(เปล่งศรี อิงคนินันท์,"ต้องขอให้อาจารย์ช่วย",ก้าวไกล ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๔, หน้า ๒๗.)

      ๒.๒ ภาษาระดับสนทนา มีลักษณะของภาษาพูดที่เป็นกลางๆ สำหรับใช้ในการสนทนากันในชีวิตประจำวัน ระหว่างผู้ส่งสารที่รู้จักคุ้นเคยกัน นอกจากนั้นยังใช้ในการเจรจาซื้อขายทั่วไป รวมทั้งในการประชุมที่ไม่เป็นทางการ มีลักษณะรูปประโยคไม่ซับซ้อน ถ้อยคำที่ใช้อยู่ในระดับคำที่มีคำสแลง คำตัด คำย่อปะปนอยู่ แต่ตามปรกติจะ
ไม่ใช้คำหยาบ ภาษาระดับสนทนาใช้ในการเขียนนวนิยาย บทความบทภาพยนตร์สารคดีบางเรื่อง และรายงานข่าว เป็นต้น

ตัวอย่างภาษาระดับสนทนาในข่าว
"จากกรณีที่หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เกจิดังแห่งวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมาได้อาพาธ
ลงอย่างกะทันหัน มีอาการอ่อนเพลียอย่างหนักเนื่องจากต้องตรากตรำทำพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลและเคาะหัว
ให้กับบรรดาศิษยานุศิษย์จนไม่มีเวลาพักผ่อน เกิดอาการหน้ามืดจนกระทั่งลูกศิษย์ต้องหามส่งโรงพยาบาลมหาราช นายแพทย์เจ้าของไข้ได้ตรวจร่างกายแล้วแจ้งให้ทราบว่าเป็นไข้หวัด"
(เดลินิวส์,๒๗ มีนาคม ๒๕๓๙.)

      ๒.๓ ภาษาระดับกันเองหรือภาษาปาก เป็นภาษาที่ใช้สนทนากับผู้ที่สนิทสนมคุ้นเคยกันมากๆ เช่น ในหมู่เพื่อนฝูง
หรือในครอบครัว อละมักใช้พูดกันในสถานที่ที่เป็นส่วนตัว ในโอกาสที่ต้องการความสนุกสนานครื้นเครง หรือในการทะเลาะด่าทอทอกัน ลักษณะของภาษาระดับกันเองหรือภาษาปากนี้มีคำตัด คำสแลง คำต่ำ
คำหยาบ ปะปนปยู่มาก ตามปรกติจึงไม่ใช้ในการเขียนทั่วไป นอกจากในงานเขียนบางประเภท เช่น นวนิยาย
หรือเรื่องสั้น บทละคร ข่าวกีฬา เป็นต้น

http://www.thaigoodview.com/node/48908


สรุป
          ภาษาแบ่งออกเป็น ๕ ระดับ คือ 1.ภาษาระดับพิธีการ 2.ภาษาระดับทางการ 3.ภาษาระดับกึ่งทางการ 4.ภาษาระดับสนทนาทั่วไป  5.ภาษาระดับกันเอง หรือระดับภาษาปาก ซึ่งแต่ละระดับจะใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป



ทักษะและเทคนิคการใช้ภาษา และลีลาในการสอน

           ทักษะ คือ การพูดของผู้สอนว่ามีเนื้อหาที่น่าสนใจและวิธีการพูดโน้มน้าวผู้เรียนต่างๆ และทักษะการเคลื่อนไหว ผู้สอนควรจะเคลื่อนไหว ผู้สอนอย่างไรให้เหมาะสมกริยาท่าทางต่างๆที่ผู้สอนเคลื่อนไหวในชั้นเรียนและตลอดเวลาการสอนและหมายถึงความคล่องแคล้ว ความชำนาญในการสอน
เทคนิค คือ กลวิธีและรูปเล่มที่ใช้เสริมกระบวนการสอน ขั้นตอนหรือกระบวนการต่างๆ
การสอน คือ การถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์
ความสำคัญของทักษะการสอน

1.ถ้าเรามีทักษะการสอนเราสามารถสอนได้ และส่งเสริมความชำนาญ
2.ทักษะนับเป็นจุดมุ่งหมายหมวดหนึ่งของการศึกษาครูจะฝึกควบคู่กับความรูและเจตคติ
3.ช่วยให้เกิดความมั่นใจ ความคล่องแคล่วในการสอน
4.ช่วยไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการสอน เพราะถ้าผิดพลาดเด็กจะเข้าใจในการสอน
5.ช่วยให้สอนบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
6.ช่วยให้เกิดความชื่นชม ศรัทธาจากผู้เรียนเพราะผู้สอนสามารถสอนได้กระฉับกระเฉงถูกต้อง
7.ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพและสามารถพัฒนาการสอน

ทักษะการสอนพื้นฐาน หมายถึงความสามารถความชำนาญในการสอน ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้แต่ต้องอาศัยการฝึกฝน และการที่ครูจะมีความสามารถในการใช้ทักษะให้ได้ผลนั้นต้องมีการแยกทักษะแต่ละลักษณะให้ชำนาญเสียก่อน
1.ทักษะการนำสู่บทเรียน

จุดมุ่งหมาย
1.เพื่อให้นักเรียนเกิดความพร้อมในการที่จะเรียน
2.เพื่อโยงประสบการณ์จากเดิมของผู้เรียนเข้ากับประสบการณ์ที่จะสอน
3.เพื่อจัดบรรยากาศของการเรียนให้เป็นที่น่าสนใจ
4.กำหนดขอบเขตของบทเรียนว่าจะเรียนอะไร แค่ไหน
5.เพื่อให้ผู้เรียนรู้ความหมาย ความรู้ความคิดรวมยอด หลักการของบทเรียนใหม่

ทักษะการนำเข้าสู่บทเรียน
1.ก่อนเริ่มบทเรียน
2.ก่อนเริ่มอธิบายและซักถาม
3.ก่อนจะตั้งคำถาม
4.ก่อนจะให้นักเรียนอธิบาย
5.ก่อนจะให้นักเรียนดูภาพยนต์
6.ก่อนทำกิจกรรมต่างๆ

เทคนิคการนำเข้าสู่บทเรียน
1.ใช้อุปกรณ์การสอน เช่นของจริง รูปภาพ แผนที่ แผนภูมิ
2.ลองให้นักเรียนลองทำกิจกรรมบ้าง อย่างมีสัมพันธ์กับบทเรียน การให้นักเรียนลองใส่RAMในคอมพิวเตอร์
3.ใช้เรื่องเล่านิทานหรือเหตุการณ์ต่างๆเพื่อนำสู่บทเรียน
4.ตั้งปัญหา ทายปัญหา เพื่อเร้าความสนใจ
5.สนทนาซักถามเรื่องต่างๆเพื่อนำสู่บทเรียน
6.ทบทวนบทเรียนเดิมที่สัมพันธ์กับบทเรียนใหม่
7.แสดงละคร
8.ร้องเพลง เป็นเพลงเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจ
9.สาธิต ซึ่งอาจสาธิตโดยครู
10.ทำสิ่งที่แปลกไปตามเดิมเพื่อเรียกร้องความสนใจ
11.ให้นักเรียนฟังเพลงต่างๆเช่นเสียงดนตรี
2.ทักษะการใช้กริยาวาจา ท่าทางการสอน

การใช้กริยาวาจานับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งของครู เพราะนักเรียนจะเกิดความพอใจและสนใจที่จะเรียน บุคลิกภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของครู รวมทั้งความสามารถในการสื่อความหมายระหว่างครูกับนักเรียน ไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย

เทคนิคการใช้กริยา และท่าทางประกอบในการสอน
1.การเคลื่อนไหวและเปลี่ยนอิริยาบท
เข้ามาในห้องครูควรเดินด้วยท่าทางที่เหมาะสมสง่างาม ดูเป็นธรรมชาติ และครูควรเดินดูนักเรียนให้ทั่วถึง เป็นการให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่นักเรียนไม่เข้าใจ
2.การใช้มือและแขน
เป็นสิ่งดึงดูดความสนใจของนักเรียน เพราะนักเรียนชอบดูความสนใจสิ่งที่เคลื่อนไหวมากกว่าสิ่งที่นิ่ง การใช้มือและแขนควรสัมพันธ์กับเรื่องจะสอน มองดูไม่ขัดตา ควรให้เหมาะสมกับโอกาสและเนื้อหาที่จะสอน และให้มีลักษณะการใช้ที่เป็นธรรมชาติ
3.การแสดงออกสีหน้าสายตา
ช่วยในการสื่อความหมายของผู้เรียน ในการแสดงออกสีหน้าของครู โดยทั่วไปครูที่ดีของครูควรมีใบหน้าที่แสดงออกถึงความเป็นมิตร ความรัก ความเห็นอกเห็นใจและครูควรกวาดสายตาไปให้นักเรียน
4.การทรงตัวและวางท่าทาง
ควรวางท่าให้เหมาะสม ไม่ตึงเครียด หรือเกร็งเกินไปควรวางตัวให้เป็นธรรมชาติ
5.การใช้น้ำเสียง
ครูควรใช้น้ำเสียงที่น่าสนใจ เสียงดังฟังชัด ออกเสียง ร  ให้ชัดเจนต้องใช้น้ำเสียงนุ่มนวล ไม่แสดงอารมณ์ที่ไม่สมควรออกทางน้ำเสียง
6.การแต่งกาย
เป็นสิ่งสำคัญและดึงดูดความสนใจของนักเรียน ควรแต่งกายให้เรียบร้อยเหมาะสม เพราะถ้าครูแต่งสวยเกินไปนักเรียนก็จะให้ความสนใจกับการแต่งกายของครูมากกว่าบทเรียน
3.ทักษะการอธิบาย
เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้สอนเป็นการบอกการเล่าให้เห็นตามลำดับขั้นตอนการสอนและการอธิบายควรมีการยกตัวอย่าง มี 2ทางคือ
1แบบนิรนัย โดยบอกแล้วยกตัวอย่างขยายกฎหรือหลักการนั้นๆให้เข้าใจ ทฤษฎีหลักการ
2.แบบอุปนัย การยกตัวอย่างรายละเอียดย่อยๆ แล้วให้เด็กคิดวิเคราะห์รวบรวมเป็นหลักการ
ลักษณะการอธิบาย
ใช้เวลาอธิบายไม่เกิน10 นาที ควรใช้ภาษาที่ง่ายๆที่เด็กเข้าใจง่ายควบคลุมใจความสนใจเรื่องยากไปง่ายและอธิบายตามแนวคิดของนักเรียนเราจะรู้ว่าเด็กเด็กเข้าใจหรือไม่เข้าใจและครูควรสรุปผลการอธิบายให้เด็กนักเรียนเข้าใจด้วย
4.ทักษะการเร้าความสนใจ
เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการเรียนการสอนประสบผลดี เพราะจะช่วยให้ครูปรับปรุงกลวิธีการสอน
ประโยชน์
1.เด็กเกิดความพร้อมที่จะเรียนมากขึ้น
2.เด็กมีความสนใจในบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ
3.ทำให้ครูมีความสนใจในการสอนและเด็กสนใจเรียน

เทคนิคการเร้าความสนใจ
1.การใช้   ท่าทางประกอบการสอน
2.การใช้ถ้อยคำและน้ำเสียง  ถ้อยคำน้ำเสียงควรกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจ
3.การเคลื่อนไหว ขณะสอน ครูควรเปลี่ยนจุดนั่ง และจุดยืนของตน   ภาพเคลื่อนไหวย่อมมีชีวิตมากกว่า และน่าสนใจกว่า
4.การเน้นจุดสำคัญ ต้องใช้ลีลา น้ำเสียง และการเว้นระยะการพูดหรือการอธิบาย
5.ทักษะการใช้คำถาม

เป็นสิ่งสำคัญในการสอน เฉพาะอย่างการใช้คำถามให้เด็กคิดเห็น สติปัญญาเป็นผู้ตามต้องเข้าใจจัดประสงค์ของคำถาม และไม่ควรเป็นคำถามที่อธิบาย แต่ควรเป็นคำถามที่เน้นวิเคราะห์

ประเภทคำถาม
1.คำถามที่ใช้ความคิดพื้นฐาน  เป็นคำถามง่ายๆไม่ต้องคิดลึกซึ้ง
คำถามที่ขยายความคิด เมื่อให้เด็กมองสิ่งที่เรียนอยู่และขยายความในสิ่งที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ คำถามประเภทได้แก่ การคาดคะเน เป็นคำถามเชิงสมมุติฐาน คาดการณ์ ซึ่งคำตอบย่อมเป็นไปได้หลายอย่าง

เทคนิคการใช้คำถาม
ถามด้วยความสนใจ
ถามอยางกลมกลืน
ถามโดยใช้ภาษาที่พูดเข้าใจง่าย
การให้นักเรียนมีโอกาสตอบหลายคนในการสอน
การเลือกถาม ควรถามผู้เรียนที่อ่อนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเข้าใจดังนี้
การเสริมกำลังใจ หรือให้ผลย้อนกลับ ควรให้คำชมเชยกับเด็กที่ตอบคำถาม
การใช้คำถามหลายๆประเภทในการสอนแต่ละครั้ง
การใช้กิริยาท่าทางเสียงในการประกอบคำถาม
การใช้คำถามเชิงรุก การใช้คำถามต่อเนื่องอีก เพื่อให้ผู้เรียนได้ความรู้และขยายความคิด
6.ทักษะ การใช้อุปกรณ์การสอน

ประโยชน์ของอุปกรณ์การสอน

เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการเรียน
เพื่อให้โอกาสแก่ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน
ทำให้ผู้เรียนเกิดแนวคิด
ทำให้เกิดทักษะการศึกษาหาความรู้
ทำให้ผู้เรียนสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆได้นาน
ช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์
เทคนิคการใช้อุปกรณ์

ใช้อุปกรณ์อย่างคล่องแคล่ว
แสดงอุปกรณ์ให้เห็นชัดทั่วห้อง
ควรหาที่ตั้ง  แขวนอุปกรณ์ที่มีขนานใหญ่
ควรใช้ไม้ยางและมีปลายแหลมชี้แผนภูมิ
ควรนำอุปกรณ์มาวาง  เรียงกันไว้เป็นลำดับก่อนถึงเวลาสอนเพื่อสะดวกในการหยิบใช้
ควรเลือกใช้เครื่องมือประกอบการใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม
ควรมาการเตรียมผู้เรียนก่อนล่วงหน้าการใช้อุปกรณ์
ควรใช้อุปกรณ์ให้คุ้มค่ากับที่เตรียมมา
พยายามเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ร่วมกิจกรรม
ควรคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้อุปกรณ์บางชนิด
7ทักษะและเทคนิคการใช้กระดานดำ

ครูควรทำความสะอาดกระดานดำทุกครั้งที่เข้าสอน
การเรียนควรแบ่ง3ส่วนหรือ4ส่วน หรือขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่จะเขียน
ในการเรียนควรเขียนจากซ้ายมือไปขวามือ
ถ้ามีหัวข้อเรื่อง ชื่อเรื่องควรไว้ตรงกลางกระดานดำในส่วนที่เราแบ่งไว้
ขณะเขียนต้องแบ่งกระดานพอประมาณ
ในการเขียนหนังสือ ต้องให้เป็นเส้นตรงไม่คดเคียว
ถ้าต้องการอธิบายข้อความบนการดานดำ ไม่ควรยืนมาก
ถ้ามีข้อความสำคัญ อาจใช้ชอล์กขีดเส้นใต้
ควรใช้ชอล์กสี เมื่อต้องการเน้นข้อความโดยเฉพาะ
เขียนคำตอบของผู้เรียนลงกระดาน เพื่อเสริมกำลังใจ
ใช้เครื่องมือในกานเขียนรูปทรงบนกระดาน
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการใช้กระดานดำด้วย
ถ้ามีเรื่องใหม่ควรลบของเก่าออกให้หมด
การลบกระดานต้องลบให้ถูกวิธี โดยลบกระดานจากบนลงล่างและลบไปทางเดียวกัน
8.ทักษะการเสริมกำลังใจ

ประเภทการเสริมกำลังใจ

ความต้องการภายใน เช่น ความพอใจ
การเสริมกำลังใจภายนอก เช่น การชมเชย การให้รางวัล ได้แก่
–   การเสริมกำลังใจโดยให้นักเรียนมีส่วนร่วม ในการชมเชย เช่นตบมือ
–   การเสริมกำลังไว้โดยการให้รางวัล
–    โดยการให้ผู้เรียนเห็นความต้องการของตนเอง

9.ทักษะการสรุปบทเรียน
–  เป็นการสอนที่ผู้สอนพยายามให้นักเรียนรวบรวมความคิด ความเข้าใจของตนจากการเรียนรู้ที่ผ่านมา ว่าได้สาระสำคัญหลักเกณฑ์   ข้อเท็จจริง
–  การสรุปบทเรียนเป็นสิ่งที่ต้องทำคู่กับการสอน

รูปแบบการสรุปบทเรียน มี 2 รูปแบบ คือ

การสรุปคิดเนื้อหาสาระ
การสรุปคิดความเห็น
เทคนิคการสรุปบทเรียน

สรุปโดยการอธิบาย
 2.    สรุปโดยใช้อุปกรณ์
3.   สรุปโดยการ

สรุปโดยการเล่านิทาน
 5.  สรุปโดยการสร้างสถานการณ์
 6.   สรุปโดยการสาธิต

https://yupawanthowmuang.wordpress.com/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%B2/


ทักษะการสอนการนำเข้าสู่บทเรียน มีกระบวนการดังนี้
1.  นำเอาความรู้และทักษะที่ผู้เรียนมีอยู่เดิมมาสัมพันธ์กับบทเรียนใหม่ได้ โดยการทบทวนความรู้เดิม หรือทดสอบก่อนเรียน แล้วเชื่อมโยงเติมเต็มพื้นฐานความรู้เดิม หรือกำหนดจุดเน้นในการสอนในเรื่องที่ผู้เรียนยังขาดอยู่
2.  การใช้คำถามนำเข้าสู่เรื่องมีประสิทธิภาพ
3.  การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างการนำเข้าสู่บทเรียนและเนื้อหาสำคัญของบทเรียน
4.  ใช้กิจกรรมการสนทนาในเรื่องสนุกสนาน น่าสนใจ ชีวิตประจำวันและความเป็นอยู่รอบตัวผู้เรียนและชุมชนที่สัมพันธ์กับเรื่องที่จะเรียน
5.  สร้างบรรยากาศความอยากรู้อยากเห็นด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ใช้สื่อที่น่าสนใจ ใช้เกม ใช้กรณีตัวอย่าง ที่สัมพันธ์กับบทเรียน
6.  สร้างความสำเร็จในการเร้าความสนใจเมื่อเริ่มต้นเรียน
คุณลักษณะที่ประเมิน
1.  สามารถนำเอาความรู้และทักษะที่ผู้เรียนมีอยู่เดิมมาสัมพันธ์กับบทเรียนใหม่ได้
2.  การใช้คำถามนำเข้าสู่เรื่องมีประสิทธิภาพ
3.  การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างการนำเข้าสู่บทเรียนและเนื้อหาสำคัญของบทเรียน
4.  บทสนทนาในเรื่องสนุกสนาน น่าสนใจ
5.  สร้างบรรยากาศความอยากรู้อยากเห็นด้วยวิธีการต่าง ๆ
6.  ความสำเร็จในการเร้าความสนใจเมื่อเริ่มต้นเรียน

https://www.gotoknow.org/posts/73571



           การใช้วาจากิริยาท่าทาง เป็นพฤติกรรมการแสดงออกที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้มีอาชีพครู ครูคือผู้อบรม สั่ง และสอนผู้เรียน ซึ่งจำเป็นต้องใช้การพูด การอธิบาย การแสดงทางสีหน้าท่าทางประกอบการพูด ดังนั้น ครูที่มีทักษะในการใช้วาจากิริยาท่าทาง ก็จะมีความสามารถในวิธีการพูด การใช้น้ำเสียง ใช้จังหวะ ประกอบกับการใช้กิริยาท่าทาง ก็จะมีความสามารถในวิธีการพูด การใช้น้ำเสียง ใช้จังหวะ ประกอบกับการใช้กิริยาท่าทาง ชวนให้สนใจ สื่อความเข้าใจได้กระจ่างชัดเจน เหมาะสม ไม่เคอะเขิน และเหมาะกับบุคลิกภาพของผู้เป็นครู ถ้าครูมีทักษะการใช้กิริยาวาจาท่าทาง จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนการสอนได้ดี

https://phuntita.wordpress.com/about/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80/


สรุป
        ทักษะ คือ การพูดของผู้สอนว่ามีเนื้อหาที่น่าสนใจและวิธีการพูดโน้มน้าวผู้เรียนต่างๆ และทักษะการเคลื่อนไหว ผู้สอนควรจะเคลื่อนไหว ผู้สอนอย่างไรให้เหมาะสมกริยาท่าทางต่างๆที่ผู้สอนเคลื่อนไหวในชั้นเรียนและตลอดเวลาการสอนและหมายถึงความคล่องแคล้ว ความชำนาญในการสอน
เทคนิค คือ กลวิธีและรูปเล่มที่ใช้เสริมกระบวนการสอน ขั้นตอนหรือกระบวนการต่างๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น